“นีโอ คอร์ปอเรท” ประกาศศักดาเปิดฐานผลิตแห่งใหม่ Automated Warehouse ระดับเวิลด์คลาส

Read Time:5 Minute, 15 Second

นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานกรรมการและประธานบริหาร บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคสัญชาติไทยอันดับ 1 ภายใต้แบรนด์ ไฟน์ไลน์, ดีนี่, บีไนซ์, ทรอส, เอเวอร์เซ้นส์, วีไวต์, สมาร์ท และโทมิ  เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมแล้วที่จะเผยโฉมโรงงานผลิตแห่งใหม่ ซึ่งใช้เม็ดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้นมากกว่า 2,000 ล้านบาท ในเนื้อที่ขนาดใหญ่กว่า 190 ไร่ ในจังหวัดปทุมธานี เพื่อสร้างฐานผลิตที่มีความทันสมัยด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสูงสุด รองรับการการขยายองค์กรที่มียอดขายเติบโตเพิ่มมากขึ้นทุกปีและตั้งเป้าผลักดันรายได้รวมสู่เป้าหมาย 10,000 ล้านบาท ภายในปี 2022

ล่าสุด นีโอ คอร์ปอเรท ยังขึ้นแท่นเป็นบริษัทที่กวาดยอดขายสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ซักผ้าชนิดน้ำสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของตลาดรวมในประเทศไทย โดยมีอัตราเติบโตสูงสุดและสูงกว่าตลาดรวม ที่สำคัญเป็นบริษัทคนไทยที่มียอดขายสูงที่สุด ท่ามกลางคู่แข่งแบรนด์ต่างชาติ

“การลงทุนฐานผลิตแห่งใหม่ถือเป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์การผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยตั้งเป้าหมายสร้าง R&D Center หรือศูนย์รวมการเรียนรู้หลากหลายด้าน มุ่งเน้นการพัฒนา ทั้งด้านคุณภาพและภาพลักษณ์สินค้าในแนวทาง Premiumization เพื่อยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์สู่ระดับสากล  มีการทำวิจัยและพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง รองรับการขยายตลาดไปสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ  รวมถึงการพัฒนาแพ็กเกจจิ้งที่สะดวกในการใช้งานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบที่มีคุณภาพของคนไทยสู่สากล” 

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้จับมือกับบริษัทผู้เชี่ยวชาญในประเทศญี่ปุ่นมานานกว่า 2 ปี  ใช้เงินลงทุนกว่า 400ล้านบาท พัฒนาระบบ  Automated Warehouse นวัตกรรมด้านการจัดการ  (Supply Chain and Operation Excellence) ที่เรียกว่า Automated Storage and Retrieval System (AS/RS ) ซึ่งเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ติด 1 ใน 3 ที่บริษัททั่วโลกเลือกใช้   โดยเป็นระบบจัดการการทำงานที่ผสานการจัดส่งสินค้าจากโรงงานผลิตถึงคลังสินค้า มีความถูกต้องแม่นยำ และรวดเร็ว  เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การจัดเก็บประหยัดพื้นที่ถึง 60% และช่วยลดต้นทุนปฏิบัติการลงด้วย

ขณะเดียวกัน มีการเพิ่มนวัตกรรมด้านการผลิตด้วยระบบหุ่นยนต์ (Robotic system) ทำให้ผลิตได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งให้ผู้ร่วมงานมีโอกาสเรียนรู้พัฒนาทักษะการทำงานร่วมกับ Robot โดยนำระบบเครื่องจักรที่สามารถบรรจุขวดแบบอัตโนมัติ  และเครื่องบรรจุแบบซอง(POUCH) ความเร็วระดับไฮสปีด รวมกว่า 10 เครื่อง

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังวางแผนเพิ่มการลงทุนในระบบแพ็ค และระบบจัดเรียงบนพาเลทแบบอัตโนมัติ เพื่อเสริมศักยภาพในอนาคต ซึ่งเฉลี่ยแล้วสามารถเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นกว่าเดิม 100-125%

กระบวนการผลิตทั้งหมดยังเน้นแนวคิด Eco Friendly ด้วยการติดตั้งระบบโซลาร์เซล (Solar Cell)ขนาด 2,000 กิโลวัตต์, การปรับกระบวนการผลิต ให้ใช้น้ำอย่างคุ้มค่าที่สุด,  การนำน้ำทิ้งมาบำบัดเพื่อหมุนเวียนใช้ในการรดน้ำต้นไม้ เพื่อให้มีพื้นที่สีเขียวให้พนักงาน

นายสุทธิเดช กล่าวว่า  นีโอคอร์ปอเรทถือเป็น FMCG กลุ่ม Non-food เจ้าแรกที่มีระบบ Warehouse ที่ควบคุมด้วยระบบ Automatic – AS/RS  ที่สมบูรณ์ เป็น World Class System ที่ดีและทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ โดยถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ มูลค่าสูงสุด เพื่อเป็นอนาคตใหม่ตามแผนยุทธศาสตร์เชิงรุก โดยเฉพาะการรุกตลาดพรีเมี่ยม ทั้งในกลุ่มเซกเมนต์ที่มีอยู่แล้ว และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดเซกต์เมนต์ใหม่ ๆ เพื่อรองรับช่องทางจำหน่าย ทั้งออฟไลน์และออนไลน์

ที่ผ่านมา บริษัทฯ เน้นการทำวิจัยทางการตลาดในรูปแบบต่าง ๆ มากกว่า 200 ครั้งต่อปี เพื่อศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้มีคุณภาพทัดเทียมแบรนด์ระดับโลกและตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของกลุ่มเป้าหมายทุกเพศทุกวัย นอกจากนี้ ร่วมมือกับคู่ค้าและสถาบันระดับโลกต่าง ๆ มากมายเพื่อพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ จนส่งผลให้สินค้าของนีโอ คอร์ปอเรท เป็นที่นิยมต่อเนื่องเป็นอันดับ 1 ของคนไทยมาอย่างยาวนาน รวมทั้งเปิดตลาดยังต่างประเทศ จนสินค้าเติบโตมียอดขายติดอันดับต้น ๆ ของอาเซียน

สำหรับเทรนด์สินค้าที่บริษัทฯ เร่งเดินหน้าสร้างนวัตกรรมใหม่ เพื่อเน้นความโดดเด่นเหนือคู่แข่ง คือ  Natural และ Organic trend ซึ่งเริ่มออกสินค้าสู่ตลาดแล้วหลายตัว เช่น Fineline fabric softener  ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มสูตรเข้มข้นพิเศษจากพลังธรรมชาติ

D-Nee baby fabric care ผลิตภัณฑ์ดูแลผ้าสำหรับเด็กแบรนด์แรก ที่มีผลิตภัณฑ์กลุ่มออร์แกนิค ครบวงจร  ที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน ECOCERT ประเทศฝรั่งเศส  พร้อมกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ได้รับความนิยมอย่างสูง ทั้งในตลาดประเทศไทยและ CLMV

นอกจากนี้ ยังมี BeNice shower cream  ผู้นำนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายที่โดดเด่นแตกต่างจากคู่แข่งในด้านการให้ผิวเนียนกระชับ(double firming) จาก Wheat protein & Micro collagen และฟรุตเอสเซ้นส์ (Fruit essence) สารสกัดจากผลไม้ธรรมชาติ ให้วิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระสูง ลิขสิทธิ์เฉพาะของบีไนซ์และนำเสนอเป็นแบรนด์แรกในประเทศ

บริษัทฯ มั่นใจว่า การเปิดโรงงานแห่งใหม่จะช่วยให้บริษัทฯ สามารถผลักดันยอดขายในปี 2562 เติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 2561 กว่า 10% หรือประมาณ 6,600 ล้าน ด้านภาพรวมรายได้ปี 2561 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 6,000 ล้านบาท เติบโต 10% จากปี 2560 แบ่งสัดส่วนเป็นสินค้าของใช้ส่วนตัว (Personal care) 40% และผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน (Household care) 60% โดยมีสินค้าหลัก คือ แบรนด์ไฟน์ไลน์, ดีนี่ และ บีไนซ์  ขณะที่สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศปัจจุบันอยู่ที่ 15% คาดว่าจะเพิ่มเป็น 25% ภายใน 2565 โดยเน้นตลาด CLMV รวมถึงตลาดตะวันออกกลาง จีนและอเมริกา

อนึ่ง บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด ก่อตั้งขึ้นในปี 2532 ปัจจุบันเป็นหนึ่งในบริษัทไทยที่มีบทบาทและเป็นผู้นำในตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน และผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัวภายในประเทศ ภายใต้แบรนด์สินค้าอันเป็นที่รู้จักกันดี เช่น ไฟน์ไลน์, ดีนี่, บีไนซ์,  ทรอส, เอเวอร์เซ้นส์, วีไวต์, สมาร์ท และโทมิ

Previous post Traveloka ส่งฟีเจอร์ใหม่ “Flight Status” ช่วยวางแผนทุกการเดินทางได้ง่ายยิ่งขึ้น
Next post กลุ่ม ปตท. สร้างโอกาสเยาวชน สู่การเรียนรู้โลกยุคใหม่
Social profiles