ดีพร้อม เดินเกมพลิกโฉมเอสเอ็มอี ด้วยกลยุทธ์ “Partnership Coaching” ดึง 4 กูรูธุรกิจดันสินค้าท็อปพรีเมียมผุดไอเดียต่อยอดอัตลักษณ์ เสิร์ฟดีมานด์สู่ตลาดโลก

Read Time:4 Minute, 39 Second

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) เดินหน้าพลิกโฉมโมเดลธุรกิจเอสเอ็มอี ต่อยอดผลิตภัณฑ์อัตลักษณ์ สู่การเป็น “ผลิตภัณฑ์ไทยชั้นเลิศ” (Top Premium Product) ชูกลยุทธ์ “Partnership Coaching” ดึงภาคเอกชน ร่วม ถ่ายทอดประสบการณ์ตรงเพื่อพัฒนาเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ นำร่อง โชว์เคส 6 แหล่งผลิตผลิตภัณฑ์เฟสแรก จาก 12 อัศจรรย์แหล่งผลิตผลิตภัณฑ์ไทยชั้นเลิศ มาต่อยอดให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง มีอัตลักษณ์ของชุมชนตนเองที่มีความโดดเด่น มีคุณค่า มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคมีเป้าหมายมุ่งสู่การแข่งขันเต็มศักยภาพและเติบโตในระดับสากล คาดว่าผู้ประกอบการจะมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นต่อราย ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 

นายใบน้อย สุวรรณชาตรี อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากอัตราการเติบโตของผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนในปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตร้อยละ 10 จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจชะลอตัว การแพร่ระบาดของโควิด-19 และการเกิดโรคอุบัติใหม่ ตามนโยบาย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มุ่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างมูลค่าให้กับเศรษฐกิจของประเทศ ได้สั่งการให้กระทรวงอุตสาหกรรม นำโดย ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กำหนดนโยบาย “MIND” ใช้หัวและใจ ปฏิรูปกระทรวงปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน ได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) เร่งยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการเอสเอ็มอี วิสาหกิจชุมชน

​กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ภายใต้นโยบายดีพร้อมโต โตได้ โตไว โตไกล โตให้ยั่งยืน จึงเร่งดำเนินโครงการ “ทดสอบตลาด (Market Test) ผลิตภัณฑ์จากผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน DIPROM ไทยเลิศ 12 อัศจรรย์แหล่งผลิต ผลิตภัณฑ์ไทยชั้นเลิศ” เพื่อเปิดโอกาสและช่องทางใหม่ให้กลุ่มผู้ประกอบการ 12 ชุมชนที่เข้าร่วมโครงการได้ทดสอบตลาดผ่านช่องทางการขายในตลาดทุกรูปแบบ โดยการขับเคลื่อนผ่านกลยุทธ์ “Partnership Coaching” มี 4 กูรูธุรกิจ ร่วมให้คำแนะนำเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ได้แก่ คุณสุพิชชา กาญจนวิสิษฐผล ทายาทผลิตภัณฑ์ซอสหอยนางรมตราเเม่ครัว,คุณกรธิดา ธนะกมลาประดิษฐ์ แบรนด์น้ำจิ้มสุกี้ซันซอส, คุณต่อจันทร์ แคทรินบุณยสิงห์ (เชฟเช้า) เจ้าของคาเฟ่ ‘Bite Me Softly’ และ คุณสุปรีดา โสตะวงศ์ (นิค) เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าแนวสตรีทแฟชั่น ‘AuntysHaus’ ซึ่งเฟสแรกของการดำเนินการ สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์พรีเมียม จาก 6 ชุมชนนำร่อง ประกอบด้วย 

• ชุมชนศรีพราน จ.อ่างทอง ผลิตภัณฑ์อินโตฟาร์ม แปรรูปผลิตภัณฑ์จากเมล่อนสด ให้สามารถกลายเป็นของฝากติดไม้ติดมือนักท่องเที่ยว เช่น แยมเมล่อน ไอศกรีมเจลลาโต้เมล่อน น้ำสลัดเมล่อน ช็อคโกแลตเมล่อน และขนมเปี๊ยะไส้เมล่อน 

• ชุมชนเมืองเก่าสุโขทัย (จ.สุโขทัย) ชุบชีวิต “ขนมกระแดกงา ขนมโบราณของดี อ.สวรรคโลก ให้กลายเป็นขนมรูปแบบใหม่ ยืดอายุผลิตภัณฑ์โดยไม่ใส่วัตถุกันเสีย และการต่อยอดนำเครื่องสังคโลกมาปรับโฉมใหม่ให้กลายเป็น “ชุดดริปกาแฟสังคโลก” งานคราฟท์สมัยใหม่ เจาะกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบการชงกาแฟ

• ชุมชนบ้านแหลม จ.สุพรรณบุรี พัฒนาเครื่องจักรสานจากผักตบชวามาเป็น ของตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ ผลิตภัณฑ์ธูปหอมสู่ “กำยานสายมู” ที่สามารถเป็นของตกแต่งบ้าน และ “ชาใบเตยหอม” ที่ได้รับการตอบรับจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี 

• ชุมชนบ้านตม จ.ชลบุรี พัฒนาเครื่องหอมอโรม่า ถุงหอม เทียนหอม เพื่อนำไปใช้ในธุรกิจสปา ผลิตภัฒฑ์จากดอกไม้ทานได้ อาทิ น้ำสลัดดอกไม้ ชาดอกเฟื่องฟ้า “น้ำฟ้าอำไพ เรดดี้” และ “สาโทฟ้าอำไพ” ที่แรกและที่เดียว ที่นำดอกเฟื่องฟ้ามาหมักรวมกับผลไม้รสเปรี้ยวของไทย 

• ชุมชนบ้านเดื่อ จ.หนองคาย พัฒนาไอเดียนำมะเดื่อมาแปรรูปเป็น “คราฟเบียร์มะเดื่อ” เพื่อตอบโจทย์นักท่องเที่ยวหรือกลุ่มชาวต่างชาติ นอกจากนี้ยังคิดค้นสูตร “ซอสหวานมะเดื่อ” และ “ฟรุตเค้กมะเดื่อ” เพื่อเป็นของฝากได้อีกด้วย

• ชุมชนบ้านวอแก้ว จ.ลำปาง เป็นกลุ่มชุมชนที่มีเกษตรกรเลี้ยงโคนมจำนวนมาก จึงได้ไอเดียในการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากนม ให้เป็นผลิตภัณฑ์ของฝาก เช่น พุดดิ้งนมสดคาราเมล ครีมชีส และกรีกโยเกิร์ต

นายใบน้อย กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าว มุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายกระจายรายได้ พัฒนา ประยุกต์ ต่อยอด เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ให้มีมาตรฐานในระดับสากล ต่อยอดอดีต และปรับปัจจุบัน ให้สอดรับกับบริบทของเศรษฐกิจและสังคมโลกสมัยใหม่ให้สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน โดยผู้ประกอบการจะได้รับการติดอาวุธทางธุรกิจ3 ด้าน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มีผลประกอบการในระดับดี ผลิตภัณฑ์อยู่ในความต้องการของตลาด  และผลิตภัณฑ์มีความโดดเด่นและแข็งแกร่งมากขึ้น เพื่อส่งผลิตภัณฑ์ออกไปแข่งขันในตลาดโลกหรือไปค้าขายในต่างประเทศได้ เมื่อพัฒนาไปถึงระดับนั้นแล้วจะมีส่วนช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยเข้มแข็งได้อย่างยั่งยืน ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบการจะมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นต่อราย ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 นายใบน้อย กล่าวทิ้งท้าย

​ทั้งนี้ กิจกรรมทดสอบตลาดผลิตภัณฑ์จากผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน DIPROM ไทยเลิศ 12 อัศจรรย์แหล่งผลิต ผลิตภัณฑ์ไทยชั้นเลิศ จัดขึ้นในวันที่ 2 มีนาคม 2566 ณ ลาน EDEN ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์

Previous post “ห้างเซ็นทรัล” จับมือ “ห้างโรบินสัน” ฉลองความเป็นผู้หญิง ต้อนรับวันสตรีสากล จัดงาน ‘SHE-POSSIBLE 
Next post ขีดสุดแห่งยนตรกรรมมาสด้าคว้า 6 รางวัล รถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี ด้วยเทคโนโลยีสกายแอคทีฟและดีไซน์อันสง่างาม
Social profiles