ทริปเที่ยวแม่ฮ่องสอน ตอนที่ 1

Read Time:8 Minute, 34 Second

ถึงสิ้นปีแล้ว ของทุกปี รายการเล่าเรื่องเที่ยวปีนี้ เราขึ้นเหนือมาหาสถานที่ท่องเที่ยวมาฝากท่านผู้ชมนะคะ ทริปนี้เราเลือกเดินทางไปที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจ มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก ทั้งที่เที่ยวธรรมชาติ ทะเลหมอก ภูเขาสูง  และอาหารอร่อย รวมไปถึงวัฒนธรรมอันหลากหลายของคนหลายชนชาติมารวมกัน เราเริ่มออกเดินทางด้วยรถคู่ใจ Chevrolet Tranbilzer ซึ่งพร้อมลุยกับเราไปทุกเส้นทาง เรานำสัมภาระขึ้นรถมาเหมือนจะย้ายบ้านกันเลย เราพับเบาะหลัง เพื่อเก็บของต่าง ๆ ของทีมงาน เพราะจะไปไกลก็ต้องเตรียมความพร้อมมากขึ้น แต่สำหรับรถคู่ใจคันนี้ ก็สามารถตอบโจทย์เราได้อย่างเป็นที่พอใจ กันเลยเชียวค่ะ

เราเดินทางแต่เช้าตรู่ มุ่งหน้าไปทางเส้นทางหลวงหมายเลข 108 ตั้งเป้าต้องเดินทางไปถึง อ. จอมทอง จ.เชียงใหม่ ระยะทาง 700 กว่ากิโล ต้องไปให้ถึงไม่มืดจนเกินไป เราขับรถมาเส้นทางยาวไกลมาก แต่รถคู่ใจก็ดีเหลือเกิน เวลาขับรถให้ทัศนวิสัยชัดเจน พลังแรงขับเคลื่อนตามที่หวังไว้ ถ้ามีรถแซง กระจกข้างก็จะมีไฟเตือนให้รู้ทุกครั้ง ว่ารถที่ไหนอย่ามาแหยมกับเรานะ เรารู้ตัวก่อนเสมอ เวลาที่เราจะขับเปลี่ยนเลน เราก็จะมองกระจกข้าง เรดาร์ของตัวรถก็จะช่วยเราตรวจสอบรถคันอื่นที่อาจจะอยู่ในบริเวณจุดอับสายตา สามารถเห็นไฟเตือนที่กระจก ทำให้เรามีความมั่นใจในการขับขี่มากยิ่งขึ้น และแล้ววันแรกของการเดินทาง เราก็ไปถึงที่พักเป็นที่เรียบร้อยในเวลา 17.00 น. ตามที่คาดการณ์ไว้ว่าไม่มืดจนเกินไป คืนนี้เราพักที่ บ้านสวนกิตติกรณ์ ที่อำเภอจอมทอง เพราะพรุ่งนี้เราต้องตื่นกันแต่เช้า ทีมงานก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน เพื่อเตรียมชาร์จแบตของวันรุ่งขึ้น เราก็เช่นกันขอพักผ่อนก่อนนะคะ

วันที่สอง เริ่มเช้าวันใหม่ เรารีบตื่นนอนขึ้นมาตั้งแต่เวลาตี 5 ครึ่ง ตื่นเต้นรีบแต่งตัว รีบบอกให้ทีมงานเตรียมพร้อมไปเก็บภาพทะเลหมอกกัน มาถึงบนดอยอินทนนท์แล้ว  ว้าว! หนาวเหลือเกิน อุณหภูมิ 8 องศา เราบอกกันกับทีมงานว่ายังไหวอยู่ สู้สู้ เราเริ่มตะลุยเก็บภาพต่าง ๆ มาฝาก หมอกสวยงามเหลือเกิน สักพักเก็บภาพได้เป็นที่พอใจ ก็ย้ายรถลงมาไม่กี่กิโลแม้ว ก็มาถึง พระมหาธาตุนภเมทนีดล และ พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ มีค่าเข้าชมคนละ 40 บาท โดยพระมหาธาตุนภเมทนีดล สร้างถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงพระเจริญพระชนพรรษาครบ 5 รอบเมื่อปี พ.ศ 2530 และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ สร้างถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสทรงพระเจริญพระชนพรรษาครบ 5 รอบเมื่อปี พ.ศ 2535 พระธาตุทั้ง 2 องค์นี้มีรูปทรงคล้ายคลึงกัน คือ มีฐานเป็นรูป 12 เหลี่ยมมีระเบียงแก้วโดยรอบ 2 ระดับ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปบูชา รอบบริเวณสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของดอยอินทนนท์โดยรอบได้อย่างสวยงาม เราเข้าไปสักการะและขอพรต่าง ๆ และเก็บภาพบรรยากาศต่าง ๆ มาฝากกันด้วย

 

ต่อจากนั้นเราก็เดินทางมาที่สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ ที่นี่เป็นสถานนีวิจัย หนึ่งในสี่ของมูลนิธิโครงการหลวง เป็นสถานีรวบรวมพันธ์ไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาว พืชผัก ไม้ผลเมืองหนาว รวมถึงงานประมงพื้นที่สูงเพื่อการส่งออก และพัฒนาอาชีพให้กับเกษตรกรชาวไทยภูเขา ที่นี่มีบ้านพักให้จองกันนะคะ ติดต่อเบอร์โทร 053-286771-2 หรือเว็บไซต์ www.royal-inthanon.com, www.thairoyalprojecttour.com เค้ามีแบบเป็นหลังใหญ่ อยู่ได้ 5 คน 4คน 2 คน ราคาไม่แพงมากนัก อากาศดี สถานที่ท่องเที่ยวในนี้ก็มีอยู่มาก ไม่ว่าจะสวน 80 พรรษา, สวนหลวงสิริภูมิ/น้ำตกสิริภูมิ, โรงเรือนจัดแสดงพรรณไม้, โรงเรือนการผลิตพืชไร้ดิน, โรงเพาะกล้าเพื่อสนับสนุนให้เกษตรกร เที่ยวดูจนเพลิน เผลอลืมมองเวลาไปเสียนาน เราต้องรีบเดินทางต่อแล้ว เช็ครถสักเล็กน้อย ว่าเกจ์วัดความร้อนจะขึ้นไหม เพราะต้องเตรียมตัวลงจากดอย และเจอทางโค้งเยอะมาก เราต้องเดินทางไปถึงแม่ฮ่องสอน สถานที่ที่ได้ชื่อว่า ใครขับผ่าน 1,864 โค้งได้ จะต้องได้รับใบประกาศนียบัตร เลยล่ะ

เราและทีมงานพร้อมรถคู่ใจ เตรียมเดินทางต่อแล้ว เราวิ่งมาทางเส้นทางหมายเลข 108 ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง ระยะทาง 165 กม. ระหว่างทางเจอสถานที่สวยงาม จอดแวะแชะภาพสักหน่อย บรรยากาศดี๊ดี

เราเดินทางมาถึงที่พักที่เฮินไตรีสอร์ท อ.แม่ลาน้อยแล้ว ที่นี่เป็นจุดหมายในการพักของวันนี้ เย้ ถึงเสียที สงสารรถคู่ใจ ต้องได้พักบ้าง เพราะเส้นทางที่ลงมา ทางโค้งแบบนับไม่ถ้วน แต่รถเชฟโรเลต ก็สามารถพาเราฝ่าด่านโหดมาได้หลายโค้ง แบบปลอดภัย แน่นอนเราต้องไปได้ใบประกาศเป็นแน่แท้ มาถึงที่พักแล้ว อากาศที่นี่รู้สึกหนาวแล้วล่ะ คืนนี้ต้องหลับสบายแน่เลย และที่สำคัญ เจ้าของ น้องเน็ท หนุ่มไฟแรง หล่อมาก น่ารัก อัธยาศัยดี ให้การดูแลทีมงานเราแบบไม่ขาดตกบกพร่องเลย

มื้อเย็นทีมงานจึงฝากท้องกับที่นี่ ซึ่งมีเมนูอาหารมให้เลือกเยอะมาก และที่สำคัญอร่อยทุกเมนู เราสั่งมาทานหลายอย่างตั้งแต่  ยำเฮือนไตคล้ายกับยำหัวปลี  น้ำพริกคั่วกุ้ง และต้มซี่โครงหมูใบกระเจี๊ยบ ตกใจว่าใบกระเจี๊ยบทานได้ เพิ่งเคยทานเป็นครั้งแรก น้องเน็ท บอกว่าทานแล้วจะติดใจ รสชาติเข้มข้น ได้ความเปรี้ยวจากใบกระเจี๊ยบจริง ๆ และอร่อยติดใจเลยเชียวล่ะ ไม่รู้ว่ากลับไปบ้านเราจะหาใบกระเจี๊ยบมาทำบ้างได้ไหมหนอ พอมื้อเย็นจบ ก็ถึงเวลาดึกแล้ว วันนี้เพลียเหลือเกิน เราคงต้องขอตัวไปพักผ่อนก่อนแล้วกันนะคะ

วันที่สาม เริ่มเช้าวันใหม่ เราเก็บภาพบรรยากาศที่โอบล้อมไปด้วยทุ่งนา ขุนเขาเขียวขจี รีสอร์ทที่นี่เป็นบ้านไม้ประยุกต์แบบวิถีไทยใหญ่ แต่ละหลังจะมีสะพานไม้เชื่อมเป็นทางเดิน มีลานให้มาชมดาว หรือนั่งจิบเบียร์เย็น ๆ ยามค่ำคืนอยู่หลายจุด ชวนให้หลงใหล เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ถือเป็นอีกหนึ่งความประทับใจที่อยากจะเล่าสู่กันฟัง เพราะที่เฮินไต รีสอร์ท เวลายามเช้าเราจะเห็นความสวยงามในยามรุ่งอรุณอย่างที่คุณต้องอยากไปอีกครั้ง เช้านี้กับมื้ออาหารเช้าที่แสนอร่อย  มีอาหารหลากหลายทั้งข้าวต้ม ไส้กรอก หมูแฮม ขนมปัง แถมยังมีอาหารเหนือ ที่น่าลองลิ้มชิมรสกันยามเช้าอีกด้วย บอกได้เลยว่ามาพักที่นี่ไม่ผิดหวัง สนใจติดต่อจองที่พักกับ น้องเน็ท ได้เลยนะคะ เบอร์โทร 086-915-3555

พบกับภารกิจต่อไป ทีมงานเราเดินทางกันไปที่บ้านห้วยห้อม จากเฮินไต รีสอร์ท ไปอีกเพียง 30 กิโลแม้วนะคะ ใช้เส้นทางหมายเลข 1266  เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง เราได้เข้าเยี่ยมชมวิธีการผลิตผ้าทอขนแกะ จากป้ามะลิวัลย์ นักรบไพร ป้าลงมือทอผ้าให้ดูแต่ละขั้นตอน แถมที่นี่ยังมีโฮมสเตย์ด้วย ใช้ชื่อแสนน่ารักว่า “บ้านโปเกม่อน ชะมด และบ้านหลักร้อย วิวหลักล้าน” ฟังดูแล้วน่าสนใจแล้วใช่ไหม ราคาถ้าพักรวมกับเจ้าบ้าน ค่าที่พักเพียง 150 บาท/คืน แต่ถ้าเป็นบ้านส่วนตัว ราคา 500,800,1500 บาท/คืน ติดต่อได้ที่เบอร์โทร 089-555-3900

ต่อจากที่นี่เราย้อนกลับออกไปตั้งหลักที่เส้นทางหลวงหมายเลข 108 ระหว่างทาง เราเจอป้ายพักอ้วกก่อน 1,864 โค้ง ทำให้ต้องหยุดมอง แล้วก็เจอ จุดชมวิวแม่ลาหลวง ทีมงานจึงขอแวะพักทานก๋วยเตี๋ยวห้อยขากันสักหน่อย วิวทิวทัศน์สวยงามมาก เจ้าของร้านแม่ลาหลวงรักคุณ อัธยาศัยดีมาก บอกเราว่ามีชุดชาวเขาให้ใส่ได้ฟรี หรือแล้วแต่จะบริจาคใส่ในกล่อง มีให้เลือกเยอะมาก อดไม่ได้ เราเลยมีภาพมาฝากกันให้ชมด้วยค่ะ

หลังจากนั้นเราก็ต้องเดินทางไปที่บ้านเมืองปอน ระยะทางอีก 86 กม. ที่นี่เป็นชุมชนชาวไทยใหญ่ ที่ยังคงขนบธรรมเนียมประเพณี และวิถีชีวิตแบบเดิม ๆ อย่างเหนียวแน่น บ้านเมืองปอนเปิดให้ นักท่องเที่ยวสามารถ เข้าไปเที่ยว ได้ทั้งแบบไปเช้าเย็นกลับหรือพักแบบโฮมสเตย์ เพื่อเรียนรู้วิถีชุมชน โดยจะ แบ่งกระจายอยู่ในหมู่บ้าน ทีมงานชอบที่นี่มากเลย เค้ามีวิถีชีวิตที่แบ่งงานกันทำตามความถนัด อาทิ เสื้อไตแต๊กกุ่ง หมวกกุ๊บไต ที่นี่จะมีความถนัดของแต่ละบ้านกันเลย อย่างบ้านนี้ตัดเย็บได้ อีกบ้านทำฉลุลายเสื้อ เย็บติดกระดุม อีกบ้านทำเป็นหมวก แต่หมวกต้องมีเชือกผูก ก็เป็นอีกบ้านเป็นคนทำเชือกอย่างเดียว เท่ากับไม่แย่งลูกค้ากัน สินค้าเอื้อกันจริง ๆ บางบ้านก็ทำสินค้าแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหาร (ดอกเอื้องงาม) เป็นต้น ติดต่อได้ที่ คุณกมล 081-784-4340, 080-849-6400 ถ้าเป็นเสื้อไต ติดต่อคุณจันทร์เพ็ญ 085-710-0653 ได้เลยนะคะ

 

ถึงเวลาบ่ายแก่แล้ว เราต้องรีบเร่งเดินทางให้ถึงแม่ฮ่องสอนก่อนที่จะมืดค่ำ เพราะทางโค้งยังไม่จบสิ้น เราจะต้องเดินทางไปถึงที่พักโดยมีระยะทางอีก 73 กม.ซึ่งที่พักคืนนี้ของทีมงานจะอยู่ที่ตัวเมืองของ จ.แม่ฮ่องสอนแล้ว นั่นก็หมายถึงว่า เราเดินทางมาถึงจุดหมายที่มีสิทธิจะได้รับใบประกาศนียบัตรผู้พิชิต 1,864 โค้งแล้ว สถานที่พักที่ทีมงานติดต่อกันไว้คือภูชบารีสอร์ท ของคุณบุษบาวลี ชาติเวียง ทีมงานนำสัมภาระเข้าห้องแล้ว เราก็ไปรับประทานอาหารเย็นที่ในเมือง ร้านอาหารไข่มุก ของพี่บุษของเราเช่นกัน มีอาหารซิกเนเจอร์ของที่นี่ อาทิ น้ำพริกอุ๊บแคบหมู-ผักสด. ไก่อุ๊บขมิ้น, ต้มยำปลาน้ำปาย(ปลาคัง) , ปลาช่อนไส้อั่ว แต่ละชนิดนี่ น่าทานจนทำให้พวกเรารู้สึกว่าต้องอ้วนอีกแล้ว มื้อนี้ แล้วบอกกับตัวเองว่า วันรุ่งขึ้นค่อยออกกำลังกายกันเถอะนะ

พอกลับมาถึงที่พัก ที่ภูชบารีสอร์ท ก็เลยขออวดห้องพักของที่นี่ เราได้ถ่ายรูปมาฝากด้วยนะคะ น่ารักมากมายจริง ๆ สนใจติดต่อ คุณบุษบาวลี 085-9153555 ,053-612092 พี่บุษใจดีมากเลยค่ะ ตอนนี้ขอจบก่อนนะคะ ติดตามต่อทริปแม่ฮ่องสอน ตอนที่ 2 เร็ว ๆ นี้ ได้ค่ะ

Previous post ครอสทูไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์ เรสซิเดนซ์ โรงแรมล้ำสมัย ใจกลางเมือง
Next post ODALYS ออกแบบผลิตภัณฑ์ เซรั่มปลาดาว
Social profiles